วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เก็บตกซักหน่อย... ไป Windows 8 Developer Camp มาครับ -w-


Microsoft เปิดตัว Windows 8 มาได้ 2 เดือน สิ่งสำคัญที่ยังขาดหายไปคือ "นักพัฒนา" สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ Microsoft ต้องรีบจัดการ Microsoft จึงเปิดอบรมการเขียน Windows Style Apps สำหรับใช้รันบน Windows 8 Metro Mode และ Windows RT มาอยู่ตลอด ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ไมโครซอฟท์เปิดอบรม แต่เป็นการ Invite เฉพาะแต่ละบริษัทเท่านั้น คือใครจะไปได้ก็ต้องมีคนของ Microsoft ติดต่อมาก่อน ว่างั้นเถอะ....

ก็เผอิ๊ญ พอดีไปแย่งที่นั่งพิเศษของทาง Blognone จากคุณลิ่วมาได้ครับ ก็เลยได้ไปกับเขาด้วย ฮ่าๆ (ไม่ได้ไปสองวันแรก เพราะติดธุระ เลยตามไม่ทันเลย OTL) ก็เอามาเล่าๆ ให้ฟังกัน ไม่มีรูปนะครับ มีแต่ตัวแอปสำเร็จที่เขียนเสร็จแล้วให้ดู -w-)b


Welcome to Weather Forecast! :3

... วันแรก ... (20/12/2012)

วันนี้เป็นวันที่ 3 ครับ .... การเขียน Apps กำลังดุเดือดเลยทีเดียว ในวันนั้นเค้าสอนการเขียน Code เพื่อเรียกใช้กล้อง และเซฟรูปลงใน Temporary Files เพื่อนำมาใช้งานต่อ ก็สนุกดีครับ ไม่เคยเขียนอะไรมันส์ๆ แบบนี้มาก่อน ไล่ตาม Coding แทบไม่ทัน ;___;



หลังจากนั้นเป็นการสอนใช้ Bing Maps SDK ครับ ดูแล้วอลังการพอสมควรเลย >.<

สามารถกำหนด Latitude/Longitude เพื่อให้ปักหมุดไปบน Maps ได้ด้วยครับ


ก็อย่างที่เห็นครับ :3

หลังจากนั้นก็ได้ทดลองเขียนการใช้คำสั่ง Charm Bar ด้วย โดยมีทั้งการ Search / Query และ Settings Pane อีกด้วยครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าเขียนยาก แต่จริงๆ เขียนง่ายนะ ง่ายมากด้วยครับ >.<)b

... วันที่ 2 ... (21/12/2012)

ชาวมายันเค้าว่าโลกแตก....

แต่ไม่นะ.. นี่จะสิ้นปีอยู่ละ 555+

เอ้ย เข้าเรื่อง..

วันนี้ก็มีการสอนการนำ Apps ที่เสร็จแล้วขึ้น Windows Store ครับ กระบวนการเท่าที่ดู โหดพอๆ กับ Apple พอสมควร การคำนวณราคาทางนั้นเค้ามีการแปลงราคามาให้เสร็จสรรพ ว่าจะขายเท่าไหร่

ที่สำคัญคือเรตนายหน้าไมโครซอฟท์ขอ 30% แต่ถ้า hit เกิน 200,000 จะลดเหลือ 20% ทันที...

แต่ที่สำคัญที่สุด คือเราต้องทำให้ Windows Live ID นั้น เป็น Developer Account ก่อน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1500 บาทต่อปีครับ -_____- (อดไป!)

หลังจากนั้นจึงเริ่มเรียนรู้การใช้ License Files เพื่อคุม Apps ครับ... License Files จะบอกว่า Apps นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง... ซึ่งนั่น รวมถึงการใช้ Windows Store จำลองการซื้อขายด้วยนั่นเอง

ถึงจุดนี้ผมเริ่มมึนกับ Windows Style Apps พอสมควรละ OTL...


อย่างน้อยผมก็ทำให้มันเป็น Trial Version ได้ 555+

สุดท้ายนี้ผมก็ได้ลงมือเขียน RSS Feed Application 1 ตัว แต่เขียนไม่สำเร็จหรอก เพราะเขียนให้ดึงขึ้นมาแสดงยังไงก็ยังไม่รู้เลย โฮฮ ;_;

และก็จบ Course นี้ด้วยดี... เย่~~~

ท้ายที่สุดทาง Microsoft เค้าก็ให้ eBook มา 1 เล่มครับ มีชื่อว่า

Programming Windows 8 Apps with HTML, CSS and JavaScript
by Kraig Brockschmidt


เป็น eBook ที่... เนื้อหาแน่นพอสมควร เพราะมีขนาดถึง 17 เมก... จำนวนหน้าก็ 833 หน้ารวมปก OTL... งานนี้ผมเลยต้องหาที่ Print ออกมาเป็นหนังสือเล่มโดยเร็ว แต่ค่าทำก็อ้วกเหมือนกันครับ เล่มละ 5000+ ...

ใครที่อยากได้ ก็ไปโหลดมาจากที่นี่เอาละกันครับ ผมยอมแพ้ ;_;

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[ไปดูมาแล้ว] คุณนายโฮ : หนังโฮๆ ส่งท้ายปี 2555


เชื่อว่าหลายคนมีคำถามนี้อยู่ในใจ... ทำไมเวลามีปัญหา "ผู้หญิง" ชอบร้องให้

ตรรกะนี้มันก็จริงอยู่นะ กับแฟนเก่าผม... เวลามีปัญหาทีไร ก็ชอบร้องให้ และลงใส่ผมตลอด.. ไม่รู้จะว่าไงละ ;-;

เชื่อว่าหลายๆ คนก็อยากรู้คำตอบว่าทำไมนะ ทำไม.. M39 ก็เลยจัดให้ ... กับ "คุณนายโฮ" ภาพยนตร์คอมเมดี้อารมณ์ดีฝีมือ "ยอร์ช ฤกษ์ชัย" ครับ


"คุณนายโฮ" เป็นเรื่องราวของ "โฮ" (ชมพู่ อารยา) หญิงสาวผู้มีความไฝ่ฝันว่า "อยากมีลูก" มาตั้งแต่เด็กโดยไม่มีเหตุผลว่าเพราะอะไร แต่ประเด็นสำคัญคือ โฮถูกสอนมาว่า คนเราจะมีลูกได้ ก็ต้องแต่งงานกันก่อน แล้วเรื่องนั้นค่อยว่าอีกที จึงทำให้... ณ ปัจจุบัน ขอพูดสามคำตรงๆ ว่า "โฮ ยัง ซิง"


"บอยด์" (เรย์ แมคโดนัลด์) เด็กชายผู้มีความไฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นหมอ แต่โตขึ้นมากลายเป็น ROCKER ซะงั้น ... ซึ่งความฝันกับความจริงนั้น ตรงกันข้ามกับ "ด็อก" (เล็ก ธีรเดช) ที่ความฝันตอนเด็กอยากเป็น ROCKER แต่โตมากลายเป็นหมอซะงั้น.. 5555+


เรื่องราวมันมาจี๊ดก็ตรงที่ว่า โฮเนี่ย เวลาสะกิดนิดสะกิดหน่อย ก็ไหลแล้ว... หลายคนก็เริ่มเชื่อว่า โฮ มีปัญหาชีวิตอยู่จริงๆ งานนี้จึงต้องลงไม้ลงมือช่วยกันแก้ปัญหาทั้งสามข้อของ She กันหน่อย..

เริ่มด้วยกันที่ปัญหาเล็กสุด..


"น้องเป็นตุ๊ด ที่อยากแมนตามคำสั่งพ่อ แต่ทำไม่ได้!!!"

นาวา ลูกชายคนเล็กในครอบครัวของโฮ อยู่ดีไม่ว่าดีก็กลายเป็นสาว และเปลี่ยนชื่อเป็น "นานา" (โก๊ะตี๋ อารามบอย) ทำให้ "พ่อบูรพา" (ค่อม ชวนชื่น) ต้องปรี๊ดแตก เมื่ออยู่ดีๆ นานา พาเพื่อนสาวที่ชื่อ บัญชา เอ๊ย "ซาบีน่า" มาหาที่บ้าน จึงทำให้พ่อลูกคู่นี่ทะเลาะกันรุนแรง และยื่นคำขาดสามข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกลับไปเป็นผู้ชาย

งานนี้ภาระจึงตกหนักที่โฮ ที่จะต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทั้งพ่อ และนานาคืนดีกัน..

ปัญหากลาง...


"พ่อเป็นทหารเกษียนอายุราชการ แต่ยังมีปมคาใจอยู่ในตัว"

ผู้พันบูรพา เคยเป็นทหารมาก่อน หลังปลดราชการ บูรพาก็กลับมาเลี้ยงลูก แต่ใจจริงยังมีปมคาใจอยู่ ซึ่งตนเชื่อมาตลอดว่าการจะแก้ปมนั้นให้ได้ คือต้องพลีชีพเพื่อชาติเท่านั้น

งานนี้ภาระจึงตกหนักที่โฮอีกครั้ง ที่จะต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้พ่อเลิกยึดติดกับปมในอดีตเสียที

ปัญหาแรงสุด....

"ตัวเองอยากมีลูก แต่............."

ความฝันของโฮคือการได้มีลูก แต่เผอิ๊ญ... ในการยื่นเอกสารทุนไปสหรัฐอเมริกา จะต้องมีเอกสารตรวจสุขภาพด้วย นั่นจึงทำให้โฮรู้ความจริงว่า "ตัวเองเป็นโรคมดลูกเก่ามาตั้งแต่เกิด" ซึ่งมีผลอาจจะทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ และเมื่อทิ้งไปนานวัน ก็จะกลายเป็นเนื้อร้ายที่คร่าชีวิตโฮแทน

งานนี้ทั้งด็อก และเพื่อนๆ ของโฮ จึงต้องจัดฉากให้โฮเสียตัวกับบอยด์ ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้มีลูกสมใจอยากก่อนที่มดลูกจะกลายเป็นเนื้อร้ายไป แล้ว She จะยอมเสียตัวง่ายๆ แบบนี้หรอ ต้องมาลุ้นกันครับ

....

แต่ก็อย่างที่หลายคนพูดอ่ะนะครับ คุณนายโฮ ถึงแนวจะเป็น Comedy ก็จริง แต่ตัวหนังจริงตัดเนื้อเรื่องจาก Trailer ออกไปเยอะพอสมควร พารากอนรันหนังตอน 19:20 หนังจบ 21:04 ถึงยังไงก็ยังคงมีความยาวพอสมควร ที่จะสามารถเสพย์ความสนุกจากเรื่องนี้ไปได้ครับ

และอีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะคิดว่าคุณนายโฮเป็นหนังยอดแย่ แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น.. ตามที่ผมทวีตไว้เมื่อคืนก่อนว่า...
ครับ

ถามว่าเสียดายมั้ย ไม่นะ.. เพราะได้สิ่งนี้มา 555+



ตามนั้นฮะ 555+

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[Review] 2 วันขำๆ กับ Windows Phone 8 ,,, ไม่รู้จะพูดอะไรละ

ก็อย่างที่จั่วบนหัวบล็อคอ่ะนะครับ


พอดีได้ Nokia Lumia 920 มาเล่นจากกิจกรรม Nokia Lumia Test Drive รอบที่ 3 เพิ่งคืนเครื่องสดๆ เมื่อตอนเที่ยงของวันนี้ (27/12/2012) เลย... ก็เลยจะเอามาเล่าให้ฟังในมุมมองของ Geek Android นะครับ หึหึ..

Windows Phone 8 เป็น OS ที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่พอสมควรนะ ผมว่า.. อย่างเช่น Lockscreen และ Home Screen แบบนี้




Home Screen ของ Windows Phone 8 มี 2 หน้าครับ หน้าแรกเป็น Pinned Tiles ส่วนหน้าที่สองเป็น Application List มันดู Simple ดีนะ ดีกว่า iPhone ด้วย แนวคิดอันหลังนี้ดูคล้ายๆ Android นะ เพราะ Android รวม Application List ใส่ App Drawer ให้กดเรียก แต่ Windows Phone จะใช้ Swipe ขวาเพื่อเรียกขึ้นมา...

ตอนแรก App Drawer ไม่ได้เป็นแบบนี้นะครับ มันยังไม่ได้แบ่งเป็นตัวอักษร แต่ไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรมันก็เลยเป็นแบบนี้ หะหะ

Multitasking


ต่อไปก็เป็นเรื่องของ Multitasking ครับ จุดนี้เป็นจุดด้องเก่าของ Windows Phone เลยนะ.. เพิ่งมาเป็นแบบนี้ใน Windows Phone 7.5 ใช้แนวคิดเหมือน iOS เปี๊ยบ! คือ Apps มี 3 สถานะ คือ Active/Suspend/Terminated

Active ก็เวลาแอปอยู่ข้างหน้าเงี๊ยะ.. มันก็จะประมวลผลเฉพาะแอปด้านหน้า แต่พอกด Start ออกมา ก็จะเป็น Suspend ไปแทน Suspend ก็จะ Freeze สถานะการประมวลผลเอาไว้ ยกเว้นบางแอปที่เขียน API ให้รองรับการประมวลผลแบบ Background ก็จะยังคงทำงานต่ออยู่

ส่วนสถานะสุดท้ายก็คือ Terminated คือเวลาที่แอปโดนขัดจังหวะการทำงาน ก็จะ "วึ่บ" หายไปในพริบตา แล้วก็กลับมาที่ Home Screen

Media




Media Player ก็หน้าตาประมาณนี้ครับ แต่แตกต่างกับ Android พอสมควร เพราะ Media จะยังคงเล่นต่อเมื่อถอดหูฟังออกแล้วครับ สิ่งที่น่ารำคาญก็คือ การเอาปุ่ม Control ไปอยู่ด้านบนแทนด้านล่าง ซึ่งไม่รู้จะว่ายังไงอ่ะนะ -_-

แต่ที่ผมทราบแน่ๆ ก็คือ มันเชื่อมต่อกับ Xbox Music ด้วย เก๋ใช่มั้ยล่ะครับ หุหุ

People



แนวคิดของ People Hub มันค่อนข้างโอเคเลยนะสำหรับผม เพราะมันละเอียดกว่า Sense Phonebook ที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้

อย่างที่เห็นเลยก็คือมันสามารถแสดงทั้ง Timeline บน Twitter และยังสามารถแสดง Feed ของ Facebook ได้อีกด้วยแหละ >w<

My Hub (ไม่ใช่ My Humps ของ Black Eyed Peas นะ 555)




ส่วนแรกคือข้อมูลของเจ้าของเครื่องครับ... มันแสดงการกระทำล่าสุดของคุณบน Social Network แทบทุกอย่างเลยนะ และยังแสดง Notification ล่าสุดของคุณด้วย





ส่วนต่อไปก็จะเป็นส่วนของ Social Activity ของคุณ แสดงการโพสต์ของคุณย้อนหลัง อย่างที่เห็นก็เป็นทวิตเตอร์ของผมแหละครับ อิอิ


ส่วนสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีก็เรียก Windows Phone ไม่ได้.. หน้า Phone ก็เป็นดั่งที่เห็นครับ ใหญ่นะ.. แต่ปุ่ม Call เล็กกระติ๋วอ่ะ ;_; เวลาจะกดโทร ก็ชอบโดนปุ่ม Back ทุกที -_-

คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ.. :3 ถ้าอยากเล่นจริงๆ ผมว่าไปหาซื้อมาเล่นเลยดีกว่านะ อิอิ :3

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[ไปดูมาแล้ว] ลำซิ่งซิงเกอร์ : ละครเวทีสุดม่วนซื่นจาก GTH



9 ปีที่แล้ว...

มีละครนักศึกษาเรื่องหนึ่ง ที่สร้างปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน...

...บัตรขายหมดเกลี้ยงในพริบตา...

...ทำหอประชุมจุฬาฯ แน่นเอี๊ยดไปด้วยผู้ชมทั้ง 10 รอบ...

ด้วยความสนุก และการเล่าแบบปากต่อปาก ทำให้ละครเวทีเรื่องนี้ ทำให้ถูกชูฮกว่าเป็นละครนักศึกษาที่สนุกที่สุดในสมัยนั้น... และนี่คือประตูสู่วงการบันเทิงของ เต๋อ ฉันทวิชช์, โอปอล ปาณิสรา, ก้อย รัชวิน, ฝน โมโนโทน, มาดามมด และอีกมากมายคับคั่ง... ละครนิเทศจุฬาเรื่องนั้นมีชื่อว่า "ลำซิ่งซิงเกอร์"


... 9 ปีต่อมา ...

ค่ายหนังอารมณ์ดี GTH ได้เอาละครเวทีเรื่องนี้มาปัดฝุ่นทำใหม่ให้อลังการกว่าเดิม โดยทำร่วมกับ Scenario เซียนละครเวทีระดับแถวหน้าของเมืองไทย จนในที่สุดมันก็กลายมาเป็น....


ลำซิ่งซิงเกอร์ : ละครเวที "รักสุดซิ่ง" จาก GTH

"ลำซิ่งซิงเกอร์" ถือเป็นหนึ่งในโปรเจคฉลองครบรอบ 7 ปีของค่าย GTH ซึงก่อนหน้านี้ได้ส่ง "รัก 7 ปี | ดี 7 หน" ที่เป็นโปรเจคในเหตุผลเดียวกันออกมาแล้ว และอีกหนึ่งความฝันของ GTH ก็คือการที่จะได้ทำละครเวทีสักเรื่อง นี่จึงกลายเป็นละครเวทีเรื่องแรกของ GTH ไปอีกด้วยครับ


ลำซิ่งซิงเกอร์ เป็นเรื่องราวของ "แววตา" หญิงสาวคนหนึ่งที่อยากทำตามความฝันของตัวเอง คือการได้เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง แต่ถูกขัดความต้องการจากผู้เป็นแม่ ที่เกลียดอาชีพนักร้องเข้ากระดูกดำ จึงต้องโกหกว่าจะไปทำงานเป็นสาวออฟฟิศในกรุงเทพฯ แต่แล้วก็ไปโมดิฟายด์ตัวเองให้เป็นนักร้องชื่อดัง "มีแวว แก้วอีสาน" (แพนเค้ก-เขมนิจ) แล้วจึงสร้างชื่อเสียงอยู่เรื่อยมา


แต่แล้วมันคงจะไม่เกิดเรื่อง... ถ้าคิวแสดงของวง "เดอะ กลาส ออฟ ภูธร" ไม่มีคิวแสดงแบบเร่งด่วนที่ หมู่บ้านทุ่งนกกระจิบแห่งนี้ เพราะนอกจากมีแววต้องคอยหลบหน้าผู้เป็นแม่แล้ว ... มีแววยังต้องทำศึกกับ น้อยหน่า (โอปอล-ปาณิสรา) คู่ปรับเก่าตั้งแต่สมัยเรียน และมิหนำซ้ำ ยังต้องมาเจอ ปลัดขิก (เต๋อ-ฉันทวิชช์) รักแรกพบที่แอบชอบแววตามาตั้งแต่ ป.1 ด้วย!!


และนี่มันก็เป็นการดูละครเวทีครั้งแรกในชีวิตของผมเลยล่ะครับ บัตรก็ไม่ได้ซื้อด้วย แย่งเขามาอีกต่างหาก 5555+ แต่ถ้าถามผมว่าผมจะซื้อดูมั้ย เมื่อดูจากเนื้อหาของเรื่องแล้ว ถ้ามีโอกาสจริงๆ ก็จะกลับมาดูอีกรอบครับ เพราะเนื้อหาสนุก และชวนดิ้นทุกองค์เลยทีเดียว


อวดหน่อย อิอิ ^^ ตั๋วรอบ Preview ของ A-Time Media ครับ 555+

จุดเด่นของเรื่องนี้มันจะอยู่ที่การหักมุมเรื่องครับ คือจังหวะที่กำลังดราม่าแรงๆ ก็จะมีคนคอยขัดการดราม่าตลอด ไม่ว่าจะเป็นทั้งโอปอล และเต๋อ ส่วนอีกเรื่องก็คือความสมูทของฉาก ค่อนข้างสมูทสมชื่อ Scenario ครับ ส่วนจุดเด่นอีกเรื่องคือความอลังการ ถ้าให้เทียบกับของจุฬาฯ เวอร์ชันนี้ค่อนข้างอลังการพอสมควร แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของละครนักศึกษาอยู่เยอะพอสมควรครับ เพียงแต่ตัวละครใหญ่ๆ จะเปลี่ยนมาเป็นตัวละครที่มีอายุพอสมควร เช่นบทแม่ของมีแวว ก็ได้ พี่ตู่-นันทิดา มารับบท ส่วนแม่ของน้อยหน้าได้ พี่ต่อง-สาวิตรี มารับบทเช่นกัน พี่ต่องเราอาจจะติดตากับบท "นพนภา" สุดร้ายกาจเมื่อ 11 ปีที่แล้ว แต่กับ ลำซิ่งซิงเกอร์ ให้ลืมภาพนั้นให้หมดครับ! 555+

และนอกจากนี้ก็ยังมีบทของ เฮียเขี้ยว หัวหน้าวงสุดโฉดแต่ใจปลาซิว (ห่ะ?) ที่ได้ อาตู้-ดิเรก มารับบท (คนช่อง 7 มาสองคนครับ คือแพนเค้ก แล้วก็อาตู้) และยังมี เจ๊แกร่ง ที่ได้ ซันนี้ ยูโฟร์ มารับบทเช่นกันครับ



ใครที่อยากดูก็ ตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ (เพราะปิดม่านรอบสุดท้ายวันที่ 13 มกราคม) ก็ไปดูกันได้ที่เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ครับ ไม่ใกล้ไม่ไกล.. เอสพลานาด รัชดานี่เองครับ อิอิ :3 (อย่าหลงไปแครายนะครับ ที่นั่นไม่มีโรงบอร์ดเวย์นะ 555) โดยละครกึ่งบอร์ดเวย์เรื่องนี้รู้สึกจะยาว 3 ชั่วโมงกว่าๆ ด้วย และมีเบรคก่อนขึ้นองค์สอง 15 นาทีครับ


ถ้าผมมีโอกาส... ก็อยากกลับไปชมภาพนี้ด้วยตาตัวเองอีกครั้ง :)
(ปล.. ถ่ายไม่ชัดเพราะนั่งแถวเกือบๆ หลังสุด ได้แค่นี้ก็ดีแล้วครับ ;w;)

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[Case Study] "พนักงานแอบเอาเครื่องไปใช้" ปัญหาเล็กๆ ที่เดินหมากผิดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่

ประเด็นร้อนในช่วง 1-2 วันนี้ คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงเท่า T13058026 เตือนภัย !!! เอามือถือ Samsung ส่งซ่อม แต่โดนพนักงานเอาไปใช้ส่วนตัว !!!

คำว่า "Service Mind" หรือ "จรรยาบรรณในการให้บริการ" เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก และยิ่งกับสินค้าที่ต้องใช้งานในชีวิตประจำวันอย่าง "โทรศัพท์มือถือ" มันยิ่งกลายเป็นสิ่งที่วัดคุณภาพในการให้บริการได้อย่างดีเลยทีเดียว การที่ลูกค้าคนหนึ่ง เลือกซื้อ Product ของตัวเอง มันเท่ากับว่าเป็นการให้ความไว้วางใจในตัวสินค้า ซึ่งนั่นรวมไปถึงบริการหลังการขายทีดีด้วยนั่นเอง

ในบล็อกที่แล้วที่ผมบอกไปว่าผมได้ HTC One X มาฟรีๆ จากกิจกรรมของเอชทีซีประเทศไทย เครื่องที่ผมได้มาก็มี Defect เหมือนทุกเครื่องเช่นกัน สิ่งที่ผมทำเลยก็คือนำเครื่องส่งเข้าศูนย์บริการ (บริษัท เอสไอเอส ดิสทิบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)) ผมนำเข้าศูนย์ครั้งแรก คือใช้งานมาแล้ว 3 เดือน เหตุผลที่ส่งก็เพราะว่ามันจับ Wi-Fi ได้ค่อนข้างช้าถึงช้ามาก สิ่งที่เอสไอเอสทำให้ผมเลยก็คือ "เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้" ใช่ครับ เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ผมเลยทีเดียวโดยไม่มีข้อผูกมัด แต่ประเด็นคือเครื่องที่ได้มาใหม่ตอนแรกมีรอยแตกอยู่ ผมจึงขอให้ทางศูนย์ทำการเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ผมอีกรอบ ซึ่งก็จบลงด้วยดี (ในตอนนั้นผมได้คุยกับคุณนัท (คุณณัฐวัชร วรนพกุล - CEO เอชทีซีประเทศไทย) เป็นการส่วนตัวถึงปัญหานี้ด้วย) และนี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ผมยังคงรัก HTC อยู่ :)

กลับมาที่เคสหลักของเรา..

เคสนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็กๆ ครับ คือเครื่องดับตอนถอดสายชาร์จ ซึ่งเป็นปัญหามาจากแบตแน่นอน ปัญหานี้ควรจบภายใน 1 วัน เพราะแค่เป็นการตรวจสอบว่าแบตเสื่อมหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ศูนย์บริการของบริษัท อิเลคทรอนิกส์ ดาต้า ซอร์ซ แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ใช้เวลาในการดำเนินการถึง 11 วัน เพื่อวิเคราะห์ว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากอะไร ก่อนจะสรุปว่าเกิดขึ้นจากแบตและเสนอให้เปลี่ยนแบตในราคา 900 บาท

และทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...

เขี้ยวของฝาหลังหัก ... และ มีรอยปากกาแดง

ฟังดูเผินๆ เหมือนคิดว่าจะมีแค่นี้.. แต่จริงๆ แล้วมันมีมากกว่านั้น ....


นี่คือสิ่งที่เจ้าของกระทู้บอกมาว่า "มันติดมาด้วยหลังรับเครื่องคืน" ซึ่งเจ้าของกระทู้ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง เพื่อที่จะนึกว่าคนในรูปคือใคร .... แต่นึกไปนึกมา.. นี่คือรูปของช่างคนหนึ่งในศูนย์บริการแห่งนั้นนั่นเอง

เจ้าของกระทู้กับแฟนของเขาจึงเดินทางกลับไปยังศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ในวันรุ่งขึ้น และทำเนียนเอาบลูทูธไปเคลมครับ

สิ่งที่พบเจอเลยก็คือ มีช่างออกมารับ 1 คนแต่ไม่ใช่ช่างคนนั้น จึงมีการสนทนากันเกิดขึ้น และเข้าสู่คำถามที่ว่า "มีใครเอาเครื่องผมไปใช้หรือไม่ครับ" สิ่งที่เกิดขึ้นเลยก็คือพนักงาน Support ด้านหน้า ลุกเดินจากโต๊ะให้บริการ แล้วเข้าไปยัง Staff Room ทั้งหมด ทันใดนั้นเจ้าของกระทู้จึงเริ่มการเปิดโปงความชั่วร้ายของศูนย์ให้บริการนี้ ด้วยการโชว์รูปของช่างที่นำเครื่องออกไปใช้ ต่อหน้าผู้ที่รอเข้ารับบริการนั่นเอง

หลังจากนั้นจึงมีปากเสียงกัน ก่อนที่ช่างจะเป็นฝ่ายกลับเข้าห้องไปเพื่อทำงานต่อ และให้ผู้จัดการออกมารับหน้าแทน

การทดสอบแบตเตอรี่ของแต่ละศูนย์บริการมันไม่เหมือนกัน ใช่ครับ แต่สิ่งที่ EDS อ้างมาคือการที่พนักงานต้องเอาเครื่องไปทดสอบแบตเตอรี่ก่อน นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้าของกระทู้เริ่มยั๊วะ และเริ่มเปิดรูปของช่างที่อยู่ในโทรศัพท์ให้ดูทีละช็อต




หลังจากที่ผู้จัดการท่านนั้นได้เห็นรูปข้างต้นไป จึงเริ่มทำในสิ่งที่เรียกว่า "การเยียวยา" ด้วยการเสนอเปลี่ยนเมนบอร์ด, ฝาหลัง, แบตเตอรี่ และจอ ให้ใหม่ยกชุดโดยไม่คิดค่าอะไหล่และบริการ ต่อประกันเครื่องเพิ่มเติมให้ 3 เดือน และ "เขียน E-mail ขอโทษเป็นลายลักษณ์อักษรให้ ภายในวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2555"

และถือว่าโชคดีที่ผู้ใหญ่ของซัมซุงแวะเวียนอยู่ในเว็บบอร์ดหลายแห่ง ประจวบเหมาะกับการที่เจ้าของกระทู้เอาเรื่องนี้ไปโพสพอดีในคืนวันนั้น เรื่องมันก็เลยแดงขึ้นมา และกลายเป็นปัญหาใหญ่จนได้...

วันต่อมาผู้จัดการจึงโทรกลับไปยังแฟนของเจ้าของกระทู้ เพื่อเสนอการเยียวยาให้ใหม่ ด้วยการมอบเครื่อง "Samsung Galaxy Note" เครื่องใหม่ให้ แต่เนื่องจากขึ้นต้นเสียงไม่ค่อยสู้ดี เพราะโดนซัมซุงประเทศไทยเล่นงานมาหนักพอสมควร และลังเลใจว่าควรทำอย่างไร...

..สุดท้าย..

แฟนของเจ้าของกระทู้ปฏิเสธการเยียวยาทั้งหมด รวมไปถึงการเปลี่ยนอะไหล่ให้ฟรีๆ ด้วย

ด้วยเหตุผลที่ว่า

เจ้าของกระทู้ และแฟน จะต้องลบเรื่องทั้งหมดที่โพสเอาไว้ออก และทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จุดนี้ถือว่าเป็นหมากที่ EDS เดินผิดจริงๆ การเอาศักดิ์ศรีของลูกค้ามาเป็นเครื่องมือ ในทางปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยได้อย่างยิ่งครับ กรณีนี้มันก็แล้วแต่คน ว่าใครจะยอมความหรือไม่ยอมความ ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัว "ผมเองก็คงไม่ยอมความและติดต่อกลับสำนักงานใหญ่โดยเร็วเช่นกัน"

เรื่องนี้คงเป็นอุทธาหรณ์สอนใจใครหลายคนได้พอสมควร ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค ตัวผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่ายก็ควรมองในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนตัวต้องยกนิ้วให้กับผู้บริหารของซัมซุงเช่นกันครับ ขนาดลาพักร้อนอยู่ ก็ยังคงมาตามเรื่องราวให้จบ แต่มันก็ไม่จบอย่างที่คิดอ่ะนะ เหอะๆ..

ก่อนหน้านี้ศูนย์บริการแห่งนี้ยังเคยป้ายข้อหา ลูกค้าทำเครื่องตก ทั้งๆ ที่เป็นผลมาจาก Thermal Effect แท้ๆ (ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมพูดถึงเคส หน้าจอ Galaxy Note 2 แตกเพราะผลจาก Thermal Effect อยู่) โดยเสนอให้ลูกค้าเปลี่ยนหน้าจอในราคาเต็ม แต่พอเอามาโพสลงอินเตอร์เน็ตได้เพียงข้ามคืน ทางศูนย์บริการจึงรับไปซ่อมแบบฟรีๆ และเรื่องนั้นก็จบลงอย่าง Happy Ending ??

ส่วนเรื่องนี้ยังคงสาวความได้ยาวอีกเป็นกิโลครับ เพราะมันไม่จบง่ายๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม เอาเป็นว่าใครที่ว่างๆ ก็ลองไปอ่านได้จากกระทู้ต้นทางที่ผมโพสไว้ข้างบนก็แล้วกันครับ

ป.ล. ที่ผมตามๆ อ่านอยู่ เท่าที่รู้คือ.. ช่างคนนั้น "โดนซองขาวไล่ออกจากงานแล้ว" (หรือเปล่า?) และเมื่อวานนี้มีจดหมายขอโทษจากทาง EDS ส่งมาแล้ว แต่ไม่ครบกระบวนการตามที่เจ้าของกระทู้ขอไว้ และยังได้ส่ง MicroSDHC Class 4 ขนาด 32 GB มาให้ด้วย ซึ่งแฟนของเจ้าของกระทู้ก็จะทำตามจรรยาบรรณของตัวเอง ด้วยการส่ง MicroSD Card ที่ได้มา กลับคืนไป EDS ครับ


ป.ล. 2 ... ส่วนตัว ... "ผมคงเกลียดค่ายนี้สุดใจ "ตลอดชีวิต" แล้วล่ะครับ" ถ้ามีใครมาถามว่าควรซื้ออะไรดี ผมจะตัด Samsung ออกจากตัวเลือกทั้งหมดก่อนเป็นลำดับแรกล่ะครับ และอีกทั้งก่อนหน้านี้ ที่ผมยังเคยคิดว่าจะซื้อ Galaxy Note 2 ให้คุณแม่เป็นของขวัญ ผมคงคิดผิดจริงๆ แหละครับ เคสนี้มันเป็นเคสที่ทำให้ผม "ตาสว่าง" และ "เบี่ยง" ไปมองค่ายผลไม้ถูกกัด อย่างไม่ต้องลังเลครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทเรียนพิเศษ... เมื่อการรูทมือถือรุ่นเก่า มันไม่ได้ง่ายกว่าที่คิด = ="

คือวันนี้มันอยู่ว่างๆ ครับ เบื่อ... - -

ก็เลยคันไม้คันมือ อยากจะรูทเจ้า HTC Desire HD เครื่องเก่าของผม ที่เอาไปเปลี่ยนเมนบอร์ดมาใหม่เพราะมัน Brick เมื่อตอนต้นปี  ตอนนั้นผมได้เครื่องกลับมา ก็จะรูทแล้วลงรอมของ Sensation XL ใช้ต่อ เพราะมันสนุกมือมากกว่ารอม Sense 3.0 แต่ประเด็นคือ .... "มันรูทไม่ได้ครับ" !!!

ผมนั่งงมหาวิธีอยู่แรมสองเดือน ก็จนปัญญา เพราะว่าต่อให้ Exploit ยังไง มันก็ไม่สามารถ Exploit ได้ มันเหมือนกับว่า.. ติดด่านอะไรอยู่สักอย่าง ก็เลย เออ .. เดี๋ยวนั่งรอเล่น ICS ศูนย์ก็ได้...

แต่แล้วมันก็เหมือนฝ้าผ่าครับ... เมื่ออยู่ดีๆ ... ผมได้ไอ้เจ้า HTC One X จากกิจกรรม Win A Phone One Day (เครื่องที่ผมใช้อยู่ตอนนี้) จาก HTC ประเทศไทยซะงั้น โหยย.. ผมล่ะแบบตื่นเต้นไม่รู้จะทำไงดี.. ก็เลยลืมเรื่อง ICS ของ Desire HD และยกเครื่องนี้ให้แม่ใช้งานไป


แต่ล่าสุด ผมกลับมาเล่น Desire HD อีกครั้ง เพราะต้องเอามาใช้ทำโปรเจคของวิชา Software Engineering พร้อมๆ กับ iPhone 3GS ของ @imtaiki และอีกอย่าง... คือรอม Desire HD ตอนนี้ก็เก่าแล้ว ก็เลยอยากลองวิชาอีกครังนึง...

ความยากสาหัสของการรูท Desire HD ในครั้งนี้คือ รอม 3.15 (Sense 3.0) ของ HTC ครั้งนี้มันมาพร้อม Tool บางตัวที่คอยขัดการทำงานของซอฟต์แวร์ภายนอก ที่จะเข้ามายุ่งกับระบบ ดังนั้นการที่จะรูท Desire HD ให้ได้ จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำการติดตั้งรอมเวอร์ชั่นเก่ากึ๊ก นั่นก็คือ Android 2.2 Froyo นั่นเองครับ

ผมใช้เวลาทำอยู่ 3 ชั่วโมง จนในที่สุด...


Android 4.0.4 with Sense 4.1
On Desire HD!! >A<)b

ความยากของมันคือการที่จะต้องใช้ความเร็วในการใส่คำสั่ง ADB เพื่อ Exploit และแก้ไขเวอร์ชันของรอมให้เป็นเวอร์ชันแรกสุด (1.00.000.0) จากนั้นจึงค่อยแฟลชรอมแรกสุดของ Desire HD ลงไปเพื่อแฟลชทับรอม Sense 3.0 เจ้าปัญหานั่นเองครับ

จากนั้นจึงเป็นการใช้ชุดคำสั่งในการ Exploit เครื่องอีกที ทีนี้ก็สำเร็จลุล่วง

เรื่องประกันผมไม่แคร์นะ เพราะผมซื้อไอเจ้านี่มาตั้งแต่ปลายปี 2010 นู่นนน เพราะงั้นตอนนี้ ผมจะทำอะไรกับมันก็ได้ตามสะดวกแล้วล่ะ

แต่ก็นะ ช่วงนี้มีคนบางคนยุให้ผม Unlock Bootloader ของ One X อยู่ ... แต่เงื่อนไขประกันใหม่มันคือ ถ้า Unlock แล้ว เท่ากับว่าคุณรับความเสี่ยงเอง เราก็ขอรับประกันที่เหลืออยู่ของคุณไปเลยแล้วกัน ผมไม่รู้ว่ามีคนที่ Unlock Bootloader แล้วยังไปขอรับบริการได้อยู่หรือเปล่านะ แต่ผมว่าไม่หรอก หึหึ

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[ไปดูมาแล้ว] Rise of the Guardians : ตำนานแห่งห้าเทพผู้พิทักษ์


ตอนเด็กๆ ผมเชื่อว่าเรามักจะได้ยินเรื่องราวของเทพธิดาฟันน้ำนม และซานตาครอสผู้ใจดี อยู่บ่อยครั้ง ความเชื่อที่ว่าเวลาฟันน้ำนมหักแล้ว ให้เอาใส่ไว้ใต้หมอน แล้วจะมีนางฟ้ามาเก็บฟันน้ำนมเราไป นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในศาสนาคริสต์เรื่องวันอีสเตอร์ และวันคริสต์มาสอีกด้วย แต่พอเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป คนเราโตขึ้น ความเชื่อเหล่านี้ก็จะลดลงตามอายุขัย และปลูกฝังมันลงไปในเด็กๆ รุ่นใหม่แทน



เนื้อเรื่องนี้ถูก Dreamworks Animation เอามาปั้นใหม่เพื่อย้อนให้เรากลับไปสู่ความทรงจำในสมัยเด็กกันอีกครั้งครับ กับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง "Rise of the Guardians (ห้าเทพผู้พิทักษ์)" แอนิเมชั่นแนวแฟนตาซีเรื่องใหม่จากผู้สร้าง Shrek, Madagascar และ Kung-fu Panda โดยนำเสนอแนวคิดข้างต้นในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน



ใครเป็นใครดูกันเองนะครับ

เนื้อเรื่องวางพล็อตได้ค่อนข้างดีทีเดียวครับ มีการเกริ่นว่าเทพแต่ละตนเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นก็รวมถึงพระเอกของเรา "Jack Frost" ผู้ถูกเลือกจากดวงจันทร์ ให้มารับหน้าที่เป็นหนึ่งผู้พิทักษ์ และคอยมอบความสุขให้กับเด็กๆ


แต่ Jack ผู้ที่ได้ชื่อว่า ไปอยู่ที่ไหน ที่นั่นบ้านแตกก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่ออะไร?? Jack พยายามหาคำตอบอยู่บ่อยครั้ง แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมองเขาเห็นเลย มันเลยกลายเป็นว่า เขาเป็นตัวอันตรายที่ต้องคอยอยู่ห่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ในวันเวลาที่หิมะตก ความเชื่อนี้ถูกฝังลึกลงในหัวของเด็กๆ อยู่หลายคน และแน่นอนว่าเด็กแต่ละคนย่อมมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป ยกเว้น Jamie เขาคือเด็กคนหนึ่งที่คอยให้ความเชื่อว่า พวกเทพพิทักษ์มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่กระต่ายอีสเตอร์ เขาเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะกอบกู้สถานการณ์อันเลวร้ายของเหล่าเทพพิทักษ์จากเงื้อมมือของ Pitch ไว้นั่นเอง



เรื่องนี้ค่อนข้างสอดแทรกเรื่องราวให้เราชวนคิดอยู่เสมอ แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่คอแอนิเมชั่นไม่ควรพลาดเช่นกัน ผมเองก็เกือบพลาดเรื่องนี้แล้วด้วย ถ้าไม่ได้โปรโมชั่น 12 บาทในวันนี้ของเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ช่วยผมไว้ และถือว่าโชคดีซ้ำสองที่เมกาบางนามีเรื่องนี้ให้ดูด้วย เพราะใกล้เคียง (เซ็นทรัลบางนา/เมเจอร์ฯ เอกมัย) ไม่มีเลยครับ จริงๆ TAT)~



และอีกอย่างคือเรื่องนี้ฉายมาสองอาทิตย์แล้ว (เข้าโรงวันที่ 29 พฤศจิกายน) เพราะงั้นมันก็เริ่มใกล้หมดอายุขัยแล้ว ถ้าพลาดโรงปกติ มันจะเหลือเพียงแค่ AIS 4DX ที่พารากอนที่เดียวจนถึงวันที่ 27 ธันวาคมครับ